เรื่องของผิวแพ้ง่าย
ในชีวิตประจำวันของทุกคนไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวได้ เพราะเราใช้เครื่องสำอางเพื่อความสวยงาม ดูแลผิว หรือเพื่อใช้ทำความสะอาดผิว ซึ่งในบางคนอาจเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว วันนี้เรามีข้อมูลของคนที่มีลักษณะผิวแพ้ง่ายมาบอก
การแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในคนที่ใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายอย่าง หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลายชนิด ทำให้เพิ่มโอกาสการสัมผัสกับสารเคมีที่อาจก่อการแพ้ได้ง่ายขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่พบว่ามีการแพ้บ่อยๆ เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมรองพื้น ครีมกันแดด ลิปสติก น้ำยาย้อมผม ซึ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ น้ำหอม และสารกันบูด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายขึ้น เช่น ในคนที่มีผิวแห้ง มีโรคผิวหนังอยู่แล้ว ได้แก่ โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นผิวหนังอักเสบ ผิวหนังบริเวณที่โดนทำลายด้วยแสงแดด และการดูแลผิวที่ผิด เช่น การใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์เป็นประจำ การอาบน้ำอุ่น หรือน้ำร้อนจัด หรือการอยู่ในห้องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิเย็นตลอดเวลา
เมื่อเกิดการแพ้จะมีอาการแสดงได้หลายอย่าง เราสามารถแบ่งกลุ่มของคนที่มีผิวแพ้ง่ายได้ 4 กลุ่มตามลักษณะอาการดังนี้
• Acne type เป็นผื่นแพ้ชนิดที่กระตุ้นให้เกิดสิว โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหลังวัยรุ่นที่มีประวัติการใช้เครื่องสำอางหลายชนิด คนที่มีผิวแพ้ง่ายชนิดนี้ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบไม่มาก ได้รับการทดสอบว่าปราศจากสารก่อสิว (comedogenicity) หลีกเลี่ยงการใช้ครีมรองพื้น
• Rosacea type จะมีอาการแสบร้อนที่ใบหน้า หน้าแดง อาจมีตุ่มหรือเส้นเลือดขยายตัว อาการจะรุนแรงมากขึ้นถ้ามีปัจจัยกระตุ้น เช่น อากาศที่ร้อน แสงแดด คนกลุ่มนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบช่วยลดการอักเสบของผิวหนังได้ อย่างเช่น Zinc, Aloe vera, Chamomile เป็นต้น
• Stinging type จะมีอาการแสบร้อน คันยิบๆ บริเวณผิวหนังหลังใช้ผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีอาการแสดงทางผิวหนังให้เห็น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ AHA, Lactic Acid, Vitamin C, formaldehyde, Propylene Glycol
• Allergy type เป็นการแพ้ส่วนประกอบหรือสารเคมีในเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยเฉพาะในคนที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลายชนิดก็จะมีโอกาสสัมผัสกับสารก่อการแพ้ได้บ่อยและถ้าผิวหนังมีความผิดปกติอยู่แล้ว เช่น ผิวแห้งหรือมีการอักเสบก็จะทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายขึ้น โดยน้ำหอมและสารกันบูดเป็นส่วนประกอบที่พบว่าแพ้ได้บ่อยที่สุด การทดสอบด้วยวิธี Patch test จะสามารถช่วยบอกสารก่อการแพ้ได้
ถ้าสงสัยว่าเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่าง รอจนสภาพผิวกลับมาปกติแล้วค่อยลองใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทีละตัว หากเกิดอาการผิดปกติให้หยุด และถ้าอาการหายไปหลังหยุดใช้แสดงว่าน่าจะแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้น หรืออาจทดสอบโดยการทาบริเวณท้องแขนหรือหลังหู เช้า-เย็น เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ถ้าเกิดอาการแพ้ที่รุนแรงหรือเป็นๆ หายๆ ควรพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อรับการตรวจ หาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777
การแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในคนที่ใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายอย่าง หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลายชนิด ทำให้เพิ่มโอกาสการสัมผัสกับสารเคมีที่อาจก่อการแพ้ได้ง่ายขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่พบว่ามีการแพ้บ่อยๆ เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมรองพื้น ครีมกันแดด ลิปสติก น้ำยาย้อมผม ซึ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ น้ำหอม และสารกันบูด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายขึ้น เช่น ในคนที่มีผิวแห้ง มีโรคผิวหนังอยู่แล้ว ได้แก่ โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นผิวหนังอักเสบ ผิวหนังบริเวณที่โดนทำลายด้วยแสงแดด และการดูแลผิวที่ผิด เช่น การใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์เป็นประจำ การอาบน้ำอุ่น หรือน้ำร้อนจัด หรือการอยู่ในห้องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิเย็นตลอดเวลา
เมื่อเกิดการแพ้จะมีอาการแสดงได้หลายอย่าง เราสามารถแบ่งกลุ่มของคนที่มีผิวแพ้ง่ายได้ 4 กลุ่มตามลักษณะอาการดังนี้
• Acne type เป็นผื่นแพ้ชนิดที่กระตุ้นให้เกิดสิว โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหลังวัยรุ่นที่มีประวัติการใช้เครื่องสำอางหลายชนิด คนที่มีผิวแพ้ง่ายชนิดนี้ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบไม่มาก ได้รับการทดสอบว่าปราศจากสารก่อสิว (comedogenicity) หลีกเลี่ยงการใช้ครีมรองพื้น
• Rosacea type จะมีอาการแสบร้อนที่ใบหน้า หน้าแดง อาจมีตุ่มหรือเส้นเลือดขยายตัว อาการจะรุนแรงมากขึ้นถ้ามีปัจจัยกระตุ้น เช่น อากาศที่ร้อน แสงแดด คนกลุ่มนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบช่วยลดการอักเสบของผิวหนังได้ อย่างเช่น Zinc, Aloe vera, Chamomile เป็นต้น
• Stinging type จะมีอาการแสบร้อน คันยิบๆ บริเวณผิวหนังหลังใช้ผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีอาการแสดงทางผิวหนังให้เห็น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ AHA, Lactic Acid, Vitamin C, formaldehyde, Propylene Glycol
• Allergy type เป็นการแพ้ส่วนประกอบหรือสารเคมีในเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยเฉพาะในคนที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลายชนิดก็จะมีโอกาสสัมผัสกับสารก่อการแพ้ได้บ่อยและถ้าผิวหนังมีความผิดปกติอยู่แล้ว เช่น ผิวแห้งหรือมีการอักเสบก็จะทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายขึ้น โดยน้ำหอมและสารกันบูดเป็นส่วนประกอบที่พบว่าแพ้ได้บ่อยที่สุด การทดสอบด้วยวิธี Patch test จะสามารถช่วยบอกสารก่อการแพ้ได้
ถ้าสงสัยว่าเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่าง รอจนสภาพผิวกลับมาปกติแล้วค่อยลองใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทีละตัว หากเกิดอาการผิดปกติให้หยุด และถ้าอาการหายไปหลังหยุดใช้แสดงว่าน่าจะแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้น หรืออาจทดสอบโดยการทาบริเวณท้องแขนหรือหลังหู เช้า-เย็น เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ถ้าเกิดอาการแพ้ที่รุนแรงหรือเป็นๆ หายๆ ควรพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อรับการตรวจ หาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777
Medical Center: Skin and Cosmetic Center
Publish date desc: 24/06/2024
Author doctor
Dr. Akkrawat Chingchai
Specialty
Dermatologist