รู้เท่าทันโรคงูสวัด
โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดอีสุกอีใส พบมากในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ งูสวัดส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายเองได้ แต่บางคนหลังจากแผลหายแล้วอาจมีอาการปวดตามเส้นประสาท รอยแผลเป็น หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ โดยเฉพาะในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เรามารู้จักโรคนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ
โรคงูสวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคสุกใส โดยเชื้อจะไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย เมื่อภูมิต้านทานของเราลดลง เชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจะเพิ่มจำนวน และออกมาทางเส้นประสาท โดยจะแสดงออกมาทางผื่น หรือตุ่มน้ำใส ซึ่งจะเรียงตัวเป็นแนวยาวตามเส้นประสาทคล้ายกับงู โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักจะเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ
อาการของโรค
จะมีอาการปวดบริเวณผิวหนัง ลักษณะของการปวดเป็นได้หลายอย่าง เช่น ปวดแสบร้อน ปวดลึก ปวดแปล๊บๆ หลังจากนั้น 2-3 วัน มีผื่นแดงอยู่เป็นกลุ่มขึ้นตรงบริเวณที่ปวด แล้วกลายเป็นตุ่มน้ำใส อยู่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายและมักขึ้นตามแนวเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงผิวหนังบริเวณนั้น ผื่นเริ่มจากตุ่มราบ ตุ่มนูนแดง กลายเป็นตุ่มน้ำใสใน 12-24 ชั่วโมง และกลายเป็นตุ่มหนองใน 3 วัน หลังจากนั้นจะแห้งตัวลงเป็นสะเก็ดใน 7-10 วัน สะเก็ดจะหลุดออก และหายไปใน 2 - 3 สัปดาห์ ซึ่งอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ในบางรายอาจมีไข้ และปวดศีรษะ ร่วมด้วย และเมื่อแผลหายแล้ว อาจยังมีอาการปวดตามแนวเส้นประสาทได้
การรักษาโรค
• ในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันปกติและอายุน้อย อาจรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาแก้ปวด เนื่องจากสามารถหายได้เอง
• ในผู้ป่วยสูงอายุ แพทย์จะให้ทานยาต้านไวรัส ภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ จะช่วยให้โรคทางผิวหนังหายได้เร็วขึ้น และลดความรุนแรงของโรค
• ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นงูสวัดชนิดแพร่กระจายทั้งตัว แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ รวมถึงต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
การป้องกัน
สำหรับผู้ที่มีอายุ 50-60 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคงูสวัด และลดความรุนแรงของโรค โรคงูสวัดเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อไม่ให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอด้วยนะคะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777
โรคงูสวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคสุกใส โดยเชื้อจะไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย เมื่อภูมิต้านทานของเราลดลง เชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจะเพิ่มจำนวน และออกมาทางเส้นประสาท โดยจะแสดงออกมาทางผื่น หรือตุ่มน้ำใส ซึ่งจะเรียงตัวเป็นแนวยาวตามเส้นประสาทคล้ายกับงู โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักจะเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ
อาการของโรค
จะมีอาการปวดบริเวณผิวหนัง ลักษณะของการปวดเป็นได้หลายอย่าง เช่น ปวดแสบร้อน ปวดลึก ปวดแปล๊บๆ หลังจากนั้น 2-3 วัน มีผื่นแดงอยู่เป็นกลุ่มขึ้นตรงบริเวณที่ปวด แล้วกลายเป็นตุ่มน้ำใส อยู่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายและมักขึ้นตามแนวเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงผิวหนังบริเวณนั้น ผื่นเริ่มจากตุ่มราบ ตุ่มนูนแดง กลายเป็นตุ่มน้ำใสใน 12-24 ชั่วโมง และกลายเป็นตุ่มหนองใน 3 วัน หลังจากนั้นจะแห้งตัวลงเป็นสะเก็ดใน 7-10 วัน สะเก็ดจะหลุดออก และหายไปใน 2 - 3 สัปดาห์ ซึ่งอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ในบางรายอาจมีไข้ และปวดศีรษะ ร่วมด้วย และเมื่อแผลหายแล้ว อาจยังมีอาการปวดตามแนวเส้นประสาทได้
การรักษาโรค
• ในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันปกติและอายุน้อย อาจรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาแก้ปวด เนื่องจากสามารถหายได้เอง
• ในผู้ป่วยสูงอายุ แพทย์จะให้ทานยาต้านไวรัส ภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ จะช่วยให้โรคทางผิวหนังหายได้เร็วขึ้น และลดความรุนแรงของโรค
• ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นงูสวัดชนิดแพร่กระจายทั้งตัว แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ รวมถึงต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
การป้องกัน
สำหรับผู้ที่มีอายุ 50-60 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคงูสวัด และลดความรุนแรงของโรค โรคงูสวัดเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อไม่ให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอด้วยนะคะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777
Medical Center: Skin and Cosmetic Center
Publish date desc: 24/06/2024
Author doctor
Dr. Jantakan Nitinawarat
Specialty
Dermatologist