การปลูกถ่ายไต ทางเลือกสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
สำหรับผู้ป่วยที่ทำการฟอกไต เพื่อรักษาไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย การผ่าตัดปลูกถ่ายไตถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการรักษาที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาว กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นใกล้เคียงกับคนทั่วไป โดยการผ่าตัดปลูกถ่ายไตจะเป็นการนำไตที่ยังทำงานดีมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย
การปลูกถ่ายไตคืออะไร
การปลูกถ่ายไตเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หรือที่เรียกว่าการบำบัดทดแทนไต ซึ่งมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่
1. การฟอกเลือด (Hemodialysis)
2. การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)
3. การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation) หรือการผ่าตัดนำไตใหม่ใส่ในอุ้งเชิงกราน โดยไม่จำเป็นต้องตัดไตเดิมออก
ใครบ้างที่สามารถเข้ารับการปลูกถ่ายไตได้
ผู้ป่วยที่สามารถเข้ารับการปลูกถ่ายไตได้ คือ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1. ผู้ป่วยที่ฟอกเลือดหรือกำลังล้างไตทางช่องท้อง สามารถรับไตจากผู้บริจาคสมองตาย (Deceased Donor) หรือผู้บริจาคมีชีวิต (Living Donor)
2. ผู้ป่วยที่ยังไม่ฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง แต่มีค่าการทำงานของไต (eGFR) ต่ำกว่า 10 มล./นาที/1.73 ตร.ม. หรือมีอาการจากภาวะไตวาย สามารถรับไตจากผู้บริจาคมีชีวิตเท่านั้น (Living Donor)
ข้อดีของการปลูกถ่ายไต
• ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตในระยะยาว โดยเฉพาะจากโรคหลอดเลือดและหัวใจ
• หลังปลูกถ่ายไต 5 ปี ความเสี่ยงในการเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ที่ยังฟอกเลือดอยู่ถึง 47%
• คุณภาพชีวิตดีขึ้น เนื่องจากไม่ต้องมาโรงพยาบาลเพื่อฟอกเลือดบ่อยๆ ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำยาล้างช่องท้องที่บ้าน
สิ่งที่ควรรู้ก่อนการปลูกถ่ายไต
1. อายุการใช้งานของไตที่ปลูกถ่าย
• ไตจาก ผู้บริจาคมีชีวิต ใช้งานได้ประมาณ 15–20 ปี
• ไตจาก ผู้บริจาคสมองตาย ใช้งานได้ประมาณ 8–12 ปี
(อายุการใช้งานอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การดูแลตัวเองและการรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน) ไตที่ปลูกถ่ายอาจเสื่อมสภาพตามกาลเวลา เนื่องจาก
• การต่อต้านหรือปฏิเสธไตใหม่ของร่างกาย
• โรคไตเดิมกลับมาเป็นซ้ำ เช่น เบาหวานหรือโรค IgA
• คุณภาพของไตที่ได้รับบริจาค
2. ต้องรับประทานยาตลอดชีวิต ยานี้ช่วยลดการปฏิเสธไต แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดมะเร็ง แพทย์จะมีการตรวจและติดตามผลเพื่อควบคุมความเสี่ยงเหล่านี้
3. เป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องมีการประเมินความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจก่อน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777
การปลูกถ่ายไตคืออะไร
การปลูกถ่ายไตเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หรือที่เรียกว่าการบำบัดทดแทนไต ซึ่งมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่
1. การฟอกเลือด (Hemodialysis)
2. การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)
3. การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation) หรือการผ่าตัดนำไตใหม่ใส่ในอุ้งเชิงกราน โดยไม่จำเป็นต้องตัดไตเดิมออก
ใครบ้างที่สามารถเข้ารับการปลูกถ่ายไตได้
ผู้ป่วยที่สามารถเข้ารับการปลูกถ่ายไตได้ คือ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1. ผู้ป่วยที่ฟอกเลือดหรือกำลังล้างไตทางช่องท้อง สามารถรับไตจากผู้บริจาคสมองตาย (Deceased Donor) หรือผู้บริจาคมีชีวิต (Living Donor)
2. ผู้ป่วยที่ยังไม่ฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง แต่มีค่าการทำงานของไต (eGFR) ต่ำกว่า 10 มล./นาที/1.73 ตร.ม. หรือมีอาการจากภาวะไตวาย สามารถรับไตจากผู้บริจาคมีชีวิตเท่านั้น (Living Donor)
ข้อดีของการปลูกถ่ายไต
• ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตในระยะยาว โดยเฉพาะจากโรคหลอดเลือดและหัวใจ
• หลังปลูกถ่ายไต 5 ปี ความเสี่ยงในการเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ที่ยังฟอกเลือดอยู่ถึง 47%
• คุณภาพชีวิตดีขึ้น เนื่องจากไม่ต้องมาโรงพยาบาลเพื่อฟอกเลือดบ่อยๆ ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำยาล้างช่องท้องที่บ้าน
สิ่งที่ควรรู้ก่อนการปลูกถ่ายไต
1. อายุการใช้งานของไตที่ปลูกถ่าย
• ไตจาก ผู้บริจาคมีชีวิต ใช้งานได้ประมาณ 15–20 ปี
• ไตจาก ผู้บริจาคสมองตาย ใช้งานได้ประมาณ 8–12 ปี
(อายุการใช้งานอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การดูแลตัวเองและการรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน) ไตที่ปลูกถ่ายอาจเสื่อมสภาพตามกาลเวลา เนื่องจาก
• การต่อต้านหรือปฏิเสธไตใหม่ของร่างกาย
• โรคไตเดิมกลับมาเป็นซ้ำ เช่น เบาหวานหรือโรค IgA
• คุณภาพของไตที่ได้รับบริจาค
2. ต้องรับประทานยาตลอดชีวิต ยานี้ช่วยลดการปฏิเสธไต แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดมะเร็ง แพทย์จะมีการตรวจและติดตามผลเพื่อควบคุมความเสี่ยงเหล่านี้
3. เป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องมีการประเมินความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจก่อน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคไตและไตเทียม
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 25/02/2025
แพทย์ผู้เขียน
นพ. อธิภัทร์ บรรจงจิตร

ความถนัดเฉพาะทาง
แพทย์ทางด้านโรคไต