เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของมะเร็งระบบสืบพันธุ์ ซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส HPV มักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น จึงควรตรวจคัดกรองเพื่อป้องกันโรคและรักษาตั้งแต่ระยะแรก

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เป็นการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกก่อนที่จะมีอาการ ซึ่งจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้เป็นอย่างดี วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในปัจจุบันมี 3 วิธีหลักๆ ได้แก่

• การตรวจแปปเสมียร์ (Pap smear) เป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแบบดั้งเดิม โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือลักษณะคล้ายไม้พายเก็บเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก แล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็ง
• การตรวจตินเพร็พ (ThinPrep) เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูกแบบใหม่ โดยเก็บตัวอย่างเซลล์ด้วยของเหลว (Liquid-based cytology: LBC) ซึ่งแพทย์ใช้แปรงขนาดเล็กเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกของผู้รับการตรวจ และใส่ลงน้ำยารักษาสภาพเซลล์ ส่งเข้าห้องตรวจ จากนั้นแพทย์จะทำการวิเคราะห์ตัวอย่างเซลล์ และแปลผลตรวจ
• การตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV DNA Test) เป็นการตรวจแบบระดับดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นเทคนิคการตรวจระดับชีวโมเลกุลที่สามารถค้นหาเชื้อเอชพีวีได้ในระยะก่อนที่จะเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูก สามารถระบุลงลึกไปได้ถึงสายพันธุ์ของเชื้อ HPV ไม่ว่าจะเป็น สายพันธุ์ 16 และ สายพันธุ์ 18 ที่มีความเสี่ยงสูงสุด ทำให้สามารถป้องกันและรักษาได้ก่อนที่เชื้อจะพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูก

โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหากเคยมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว หรือเมื่ออายุ 30 ปี แต่อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 25 ปี ตามความเหมาะสม ทุกๆ 2 ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อที่จะตรวจพบมะเร็งปากมดลูกได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีการรักษาที่ได้ผลและหายขาด โรคมะเร็งปากมดลูกจะไม่แสดงอาการออกมาทันที การตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ และการดูแลที่เหมาะสม ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้เพื่อป้องกันโรคร้ายที่อาจเกิดขึ้น

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777